นิ้วล็อค อาการที่พบบ่อย รักษาหายขาดได้
สาเหตุของโรคนิ้วล็อค
โรคนิ้วล็อกเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มเส้นเอ็นงอนิ้ว ตรงบริเวณฝ่ามือตรงตำแหน่งโคนนิ้วทำให้นิ้วขยับได้ไม่ดี งอข้อนิ้วมือแล้วไม่สามารถเหยียดกลับคืนได้เหมือนเดิม หรือรู้สึกเหมือนนิ้วถูกล็อกไว้
กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรคนิ้วล็อก
ผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำงานในลักษณะเกร็งนิ้วมือบ่อยๆ เป็นระยะเวลานาน เช่น แม่บ้าน, พนักงานออฟฟิศ, คนทำอาหาร, ช่างฝีมือด้านต่างๆ, แพทย์, ทันตแพทย์, หรือคนทำสวน เป็นต้น
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคเก๊าท์ หรือโรครูมาตอยด์ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ้วล็อคมากกว่าคนปกติ
อาการของโรคนิ้วล็อก
โดยทั่วไปอาการของโรคนิ้วล็อกจะเริ่มต้นจากอาการเล็กน้อย และเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ระยะที่ 1: มีอาการปวดบริเวณโคนนิ้ว กดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้าจะมีอาการปวดมากขึ้น แต่ยังไม่มีอาการสะดุด
ระยะที่ 2: อาการสะดุดเวลาขยับนิ้ว งอนิ้ว และเหยียดนิ้ว
ระยะที่ 3: เมื่องอนิ้วลงจะมีอาการติดล็อคค้าง ไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งมาช่วยแกะ หากมีอาการมากขึ้นจะไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง
ระยะที่ 4: มีอาการอักเสบและบวม อาการปวดรุนแรงมากขึ้นกำนิ้วไม่ลงและไม่สามารถเหยียดตรงสุดได้
รักษาได้และรักษาหายขาด แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ ข้อที่ค้างอยู่งอไม่ลงอาจจะทำให้มีข้อยึดและส่งผลให้เกิดข้อยึดติดถาวรถึงแม้จะทำการรักษาแล้วก็ตาม ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการในระยะที่ 3 หรือระยะที่ 4 ไว้เป็นเวลานานๆ
การรักษา
อาการระยะที่ 1 และ 2
เบื้องต้นควรพักมือจากการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือออกแรงหรือแบกน้ำหนัก ซ้ำๆ เป็นเวลานาน โดยเว้นกิจกรรมดังกล่าวเพื่อพักการใช้งานมืออย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ การประคบร้อนหรือเย็น ผู้ที่มีอาการนิ้วล็อคบางรายอาจใช้วิธีประคบเย็นที่ฝ่ามือ ซึ่งช่วยให้อาการนิ้วล็อคดีขึ้น นอกจากนี้การแช่น้ำอุ่นก็บรรเทาอาการให้ทุเลาลงโดยเฉพาะหากทำในช่วงเช้า
รับประทานยาแก้ปวดแก้อักเสบเพื่อบรรเทาอาการปวด การทำกายภาพบำบัด ร่วมกับการบริหารยืดเหยียดนิ้วมือ
ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว การใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว (Splinting) จะช่วยดามนิ้วให้ตรง ไม่งอหรือเหยียดเกินไป อีกทั้งช่วยให้นิ้วได้พัก หากเกิดอาการนิ้วล็อคในตอนเช้าเป็นประจำ แนะนำให้ใส่อุปกรณ์ดังกล่าวดามนิ้วไว้ตลอดคืน เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้นิ้วเกร็งหรืองอเข้าไปเองขณะนอนหลับ
ออกกำลังกายยืดเส้น
อาการขั้นที่ 3 และ 4
ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณปลอกหุ้มเอ็น ได้ผลดี และหายกว่าร้อยละ 60 ขึ้นไป หากไม่หายแนะนำให้ทำการผ่าตัดรักษาจะดีกว่า เพราะการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ซ้ำ ๆ หลายครั้งจะไม่ทำให้อาการดีขึ้น
การรักษาโดยการผ่าตัด จะแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
วิธีที่ 1การผ่าตัดแบบเปิดเป็นวิธีมาตรฐาน โดยฉีดยาชาเฉพาะที่มีแผลผ่าตัด เพื่อกรีดผ่าปลอกหุ้มเอ็น แผลขนาดเล็กประมาณ 1-2 ซม.ผ่าตัดเสร็จแล้วกลับบ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แต่หลังผ่าตัดต้องหลีกเลียงการใช้งานหนักและการสัมผัสแผล ประมาณ 2 สัปดาห์
วิธีที่ 2 เป็นการรักษาแบบปิดโดยการเจาะ ( Percutaneous Trigger Finger release ) เป็นการสะกิดปลอกหุ้มเอ็น ออกผ่านผิวหนัง ซึ่งไม่มีแผล ซึ่งอาจมีอันตรายต่อเส้นประสาทและเอ็นที่อยู่บริเวณข้างเคียง อาจทำให้มีอาการปวดขณะขยับนิ้วมือ ปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ที่ลดผลข้างเคียง และให้ผลดี โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า A-Knife (Percutaneous Trigger Finger release with A-knife) เป็นนวัตกรรมการรักษาอาการนิ้วล็อคได้ในเวลาประมาณ 1 นาที แผลกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องทำที่ห้องผ่าตัด ลดผลข้างเคียงต่อเส้นเอ็น และเส้นประสาท เจ็บน้อย ไม่ต้องเย็บแผล มือที่ผ่าตัดสามารถใช้งานได้ทันที สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเร็วขึ้น
บริหาร 3 Step คลายนิ้วล็อก ด้วยตนเอง
กล้ามเนื้อบริเวณแขน มือ นิ้วมือ โดยยกของระดับไหล่ ใช้มือหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น – ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1 – 10 แล้วปล่อย ทำ 5 – 10 ครั้ง/เซต
บริหารการกำ – แบมือ โดยฝึกกำ – แบ เพื่อการเคลื่อนไหวของข้อนิ้ว และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ โดยทำ 6 – 10 ครั้ง/เซท (กรณีนิ้วล็อคไปแล้ว งดทำท่าที่ 2)
หากเริ่มมีอาการปวดตึง แนะนำให้แช่มือในน้ำอุ่นไว้ 15 – 20 นาทีทุกวัน (วันละ 2 รอบ เช้า – เย็น) หากอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
การป้องกันโรคนิ้วล็อค
1. ไม่หิ้วของหนักเช่น ถุงพลาสติก ตะกร้า ถังน้ำ แต่หากจำเป็นควรมีผ้าขนหนูรอง และให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือหรือใช้วิธีอุ้มประคองหรือนำใส่ รถลาก
2.ไม่ควรบิดผ้าแรงๆ เพราะจะทำให้ปลอกหุ้มเอ็น บวมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคนิ้วล็อคควรซักผ้าด้วยเครื่อง
3. นักกอล์ฟที่ต้องตีแรง ตีไกล ควรหลีกเลี่ยงใช้ก้านเหล็กตีกอล์ฟขณะปวด ควรเปลี่ยนก้านไม้กอล์ฟเป็นก้าน Fiber ชั่วคราว
4. หลีกเลี่ยงงานที่มีแรงสั่นสะเทือน หรือควบคุมเครื่องจักร เช่น ไขควง กรรไกรตัดกิ่งไม้ เลื่อย ค้อน ควรใส่ถุงมือหรือหุ้มด้ามจับให้นุ่มขึ้น
5. ควรหลีกเลี่ยงการยกของด้วยมือเปล่า และควรใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น รถลาก
6. งานที่ต้องทำต่อเนื่องนานๆควรพักมือเป็นระยะ